วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สนธิสัญญาโตเกียว

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สนธิสัญญาโตเกียว

สนธิสัญญาโตเกียว  ว่าด้วยสภาวะเรือนกระจก กำเนิด 2540


สนธิสัญญาโตเกียว 
ต้นเหตุเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่2 
เกิดจากในยุโรป ณ ขณะนั้น เริ่มมีกลิ่นอายของสงคราม โดยฝรั่งเศส เห็นความเคลื่อนไหว ของทางฝั่งเยอรมันนี ศัตรูตัวเอ้ ของตน ที่กำลังซ่องสุมกำลังพล เพื่อแก้แค้นจากการที่ถูกฝรั่งเศส และชาติพันธมิตรของฝรั่งเศสกดขี่ข่มเหงด้านต่างๆ ทั้งด้านการทหาร ทรัพยากร เศรษกิจ และค่าปรับจากปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาล จากการฝ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่1 ทำให้เกิดภาวะเงินที่เฟื้อสูงมาก เงินค่าเงินมาร์คแทบจะไร้ค่า ผู้คนเยอรมันพากันอดยาก ยากแค้น เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งมีนายอด๊าฟ อิตเลอร์ ชาวออสเตรีย สัญชาติเยอรมัน ผู้นำแห่งพรรคนาซี เข้ามาเป็นความหวังใหม่ขึ้นมา เขาผู้นี้นำพรรคนาซีก้าวขึ้นเป็นรัฐบาล สร้างโครงการขนาดใหญ่ ทั้งถนน หนทางทางรถไฟ สถานที่ราชการ สนามกีฬาเพื่อจัดกีฬาโอลิมปิก รถยนต์ของประชาชน นามโฟร์ก สวาเกนซ์ โดยยึดแนวคิดสังคมนิยม และการกำหนดนโยบายให้รัฐตัวจักรสำคัญเป็นตัวนำในการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างชาติรัฐขึ้นมาใหม่ และในขณะเดียวกันก็ได้ทำการแอบซ่องสุมฝึกฝนคนของตน ให้เข้มแข็ง มีระเบียบวินัย เพื่อใช้ทางการทหารแอบแฝง แม้เมื่อเกิดสงครามก็แปรเปลี่ยนโรงงานอุตสหกรรมหนักต่างๆให้เป็นโรงงานผลิตอาวุธได้ทันที และสร้างเรื่องความรักชาติ ภูมิใจในความฉลาดของชาวอารยันเหนือชนชาติอื่นๆ ผ่านการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์

เมื่อฝรั่งเศสได้เห็นกลิ่นอายของสงคราม ใกล้เข้ามาหาตน และกลัวตนจะเปิดศึกหลายด้าน ถ้ากรณีเกิดสงครามขึ้นกับเยอรมันนีเข้าจริงๆ ก็จึงส่งคณะฑูตเข้ามาขอเจรจากับรัฐบาลของสยามในสมัยนั้น ขอทำสนธิสัญญาสันธวไมตรีต่อกัน ว่าชาติรัฐทั้งสองจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันและจะไม่รุกรานต่อกัน ซึ่งรัฐบาลสมัยของจอมพลปอ พิบูรญ์สงครามก็ได้ทำข้อตกลง แต่ก็อดแปลกใจมิได้ ว่าอยู่ๆทำไมฝรั่งเศสจึงขอมาทำข้อตกลงฉบับนี้กับตน

พอประเทศเยอรมันเริ่มบุกประเทศโปรแลนด์ เป็นชาติแรก เหตุผลอันหนึงคืิอโปรแลนด์ มีขนาดกองทัพที่เล็กกว่ามาก แต่มีทรัพยากร จำพวกถ่านหิน และเชื้อเพลิงอีกทั้งเสบียง จำนวนมาก เพื่อเอาไว้ใช้หล่อเลี้ยงกองทัพของตน ในเวลาเริ่มต้นสงครามและขยายพื้นที่การสู้รบ อีกทั้งได้ใช้แรงงานทาสจากเชลย ทั้งจากชาวสลาฟ ยิวและพวกยิปซี ในโรงงานผลิตอาวุธของตนอีกจำนวนมาก

เมื่อทางฝั่งสยามในสมัยจอมพลปอเห็นเป็นเหตุอันดี และเป็นการแก้แค้น จึงฉีกสัญญาฉบับนั้นทิ้ง โดยที่อีกทั้งฝ่ายสยามยังได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ จากการสั่งซื้อจากญี่ปุ่น และความช่วยเหลือฝึกอบรมด้านการรบจากกองทัพญี่ปุ่น ทั้งฝรั่งเศสก็มัวแต่ภวักภวงด้านการเตรียมการรบกับกองทัพนาซีของเยอรมัน และเรียกกำลังหนุนเสริมจากกองทหารของตนที่ประจำจากที่ต่างๆในอาณานิคม เพื่อมาเสริมทัพในประเทศแม่ ทั้งจากในแอฟริกาเหนือ เช่น ตูนิเซีย ตะวันออกกลาง เช่นเลบานอน และ ในเอเซียอาคเนย์ เช่นที่อินโดจีนของฝรั่งเศส คือ ญวณ กัมพูเจียร์ และ ลาว เรียกกำลังหลักกับไปรับมือเป็นจำนวนมาก ทิ้งกำลังที่เหลือไว้เพียงแค่บางส่วน ดังนั้นรัฐบาลสยามสมัยจอมพลปอ เป็นนายก จึงถือโอกาสอันดีนี้ ทำการประลองกำลังรบกับ จักรวรรดิ์นิยมฝรั่งเศสในอินโดจีน โดยทางฝ่ายสยาม ได้จัดส่งกองกำลังทั้งทางภาคพื้นดิน เช่นหน่วยปืนใหญ่ กำลังทหารราบ และกำลังทางอากาศ เช่นฝูงบินรบ เข้าโจมตี กองกำลังของฝรั่งเศส ที่ประจำอยู่ทั้งในแขวงจำปาสัก เช่นเมืองศรีโสภณ เมืองปากเซ ,แขวงไชยบุรี ในเขตลาว เปลี่ยนเป็นจังหวัดล้านช้าง ในเวลาต่อมา รวมทั้งเข้าตี จังหวัดเสียมเรียบ ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อ เสียมรัฐ และจังหวัดพระตะบอง ในกัมพูเจียร์(จ.พิบูญสงคราม โดยคณะรมต.เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านผู้นำ) ถือเป็นชัยชนะของทางฝ่ายไทยอย่างงดงามเหนือจักวรรดิ์นิยมฝรั่งเศส

ในส่วนฝรั่งเศสก็ได้ส่งกองเรือรบ ที่ตนถนัด ออกจากท่าเรือที่เมืองไซ่ง่อน(โฮจิมินต์ในปัจจุบัน) มารบในยุทธนาวีที่เกาะช้าง และจมเรือรบของฝ่ายสยาม ก่อนล่าถอยหนีกลับ เพราะเกรงกลัวเรือดำนำ้ที่ต่อมาจากญี่ปุ่น 3ลำ (ยี่ห้อมิตซูบิชิ )และฝูงบินรบที่อยู่บริเวณนั้น

ในส่วนทางฝ่ายสยามสามารถจับเชลยศีึกทหารชาวฝรั่งเศสได้เป็นจำนวนมาก และนำเชลยศึกเหล่านั่นขึ้นโบกี้รถไฟเข้ามาที่พระนคร เหตุการณ์ครั้งนี้ เรียกว่าสงครามสยาม-ฝรั่งเศส หรือสงครามอินโดจีนครั้งที่ 3

จนสุดท้ายรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งในขณะนั้น ได้เป็นชาติมหาอำนาจแล้ว กำลังจะโชว์ฟลาวเวอร์ของจักวรรดิ์ใหม่ของตน ขอเข้ามาเป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่าย โดยนำผู้แทนฝ่ายไทย และฝ่ายฝรั่งเศส ต่างเกรงอกเกรงใจ และมาเจรจาทำข้อตกลงสัญญากันบนเรือรบหลวงโตเกียว ที่น่านนำ้เขตเวียดนาม ใกล้เมืองไซ้ง่อน จึงเรียกกันว่าสนธิสัญญาโตเกียว อันมีเนื้อหาพอสรุปสั้นๆว่าฝรั่งเศสยอมรับเขตแดนใหม่ที่ฝ่ายสยามเข้ายึดครอง โดยดุษฏี แต่ทางฝ่ายสยามต้องปล่อยตัวเชลยศึก โดยปราศจากข้อแม้ และจะต้องไม่คิดขยายดินแดนเพิ่มเข้ามาในอาณานิคมของฝรั่งเศสเพิ่มไปจากนี้อีก และเกิดก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง อีกทั้งทั้งสองฝ่ายมีฐานะเท่าเทียมกันเป็นครั้งแรก จึงถือเป็นข้อตกลงที่ยุติธรรมแล้ว

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ที่สอง สิ้นสุดลง เมื่อญี่ปุ่น แพ้สงครามต่อสหรัฐอเมริกา โดยโดนทิ้งระเบิดที่เมืองฮิโรชิมา และนายาซากิ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่แถบสองของญี่ปุ่น รองจากกรุงโตเกียว เสียชีวิตผู้คนเกือบสองแสน โดยเจ้าอ้วน Fatman และเจ้าเด็กน้อยนามLittle boy จนญี่ปุ่นยอมประกาศแพ้สงคราม ณ เรือรบหลวงมิซซูรี่ ใกล้กับอ่าวโตเกียว โดยสมเด็จพระจักพรรดิ์แห่งญี่ปุ่น ต่อตัวแทนฝ่ายสหรัฐที่นำโดยนายพลแม็กอาเธอร์

หลังจากนั้นรัฐบาลฝ่ายไทยจึงประกาศยอมแพ้สงคราม(ญี่ปุ่นนับถือเราตรงนี้ ที่ยอมแพ้กับตนเป็นคนสุดท้าย ไม่เหมือนกรณีรัสเซีย ที่ถีบหัวเรือส่ง แล้วไปยึดหมู่เกาะแซคคารินของตน) ต่อฝ่ายพันธมิตร

โดยอังกฤษยังแค้นไทย ที่เข้าไปยึดรัฐฉานในเขตพม่าของตน จนถึงเมืองเชียงตุง แล้วตั้งเป็นจังหวัดสหรัฐไทยใหม่ขึ้น อังกฤษจึงคิดที่จะเอาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เป็นรัฐอารักขาของตน เพื่อที่อาจจะไปรวมกับ สมาพันธ์รัฐมาลายาของตนต่อไป แต่ถูกสหรัฐที่เป็นมหาอำนาจขอร้องคัดค้านเอาไว้ เพราะมองว่าฝ่ายไทย(จอมพลปอ เปลี่ยนชื่ิอประเทศจากสยามเป็นประเทศไทย)ถูกญี่ปุ่นบีบบังคับ เพราะในขณะนั้นรัฐบาลไทยได้ขอความช่วยเหลือจากสหรัฐเอาไว้แล้ว กรณีที่ญี่ปุ่นจะเข้ามาบุกรุก แต่สหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้เข้ามาช่วย เพียงแต่บอกให้ทางฝ่ายไทยพึ่งตนเองไปพรางก่อน อีกทั้งยังมีขบวนการเสรีไทย เข้ามาช่วยปลดแอกและต่อต้านอิทธิพลของญี่ปุ่นในเวลานั้น รวมทั้งเป็นการปรามอังกฤษไปในตัว จนอังกฤษเรียกค่าปฎิกรรมสงครามเป็นข้าวสารจำนวนหนึ่งล้านตันแทน และทยอยส่งมอบเป็นงวดๆ เพื่อที่จะให้ไทยไม่เป็นประเทศผู้แพ้สงคราม จนต้องถูกเรียกค่าปรับมหาศาล

ในส่วนของฝรั่งเศสนั้น ได้ส่งผู้แทนมาทำการเจรจากับทางฝ่ายสยาม โดยตั้งขัอเรียกร้องถึงสองข้อ(การเจรจาต่อรองโดยหลักฝ่ายที่ได้เปรียบต้องตั้งข้อเรียกร้องไว้สูงก่อนเสมอ เพื่อให้อีกฝ่ายต่อได้น้อยที่สุด)กล่าวคือ ข้อแรก ขอพระแก้วมรกตพระคู่บ้านคู่เมืองอันเชิญกลับกรุงเวียงจันทร์ให้กับลาว และข้อสองขอดินแดนที่เสียให้กับทางฝ่ายไทย สมัยสงครามสยาม-ฝรั่งเศสกับคืนทั้งหมด ซึ้งผู้แทนฝ่ายไทยให้ได้ข้อที่สองเท่านั้น จึงลุกเดินออกจากที่ประชุม สุดท้ายเมื่อเจรจากันรอบหลัง ฝรั่งเศสจึงยอมตามข้อตกลงของทางฝั่งไทย



อ้างอิงจาก:https://www.facebook.com/warofhistory/posts/%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%882-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%9B-%E0%B8%93-%E0%B8%82%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88/496786540386477/

Cop24

Cop24 ย่อมาจาก 

 Conference of the Parties of United Nations Framework Climate Change Convention
(การประชุมขององค์กรรอบการทำงานของสหประชาชาติ) จัดที่ โปร์แลนด์ ประชุมวันที่ 3-14 ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ 



ข้อตกลง

ข้อตกลง:agreement   

  1. 1.
    ประเด็นที่ความเห็นตรงกัน.
    2.
    สัญญาที่ทำไว้ต่อกัน.

สนธิสัญญา

สนธิสัญญา 

สนธิสัญญา (อังกฤษ: treaty) เป็นข้อตกลงเฉพาะหน้าภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศซึ่งเข้าทำสัญญาโดยตัวแสดงในกฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่ รัฐเอกราชและองค์การระหว่างประเทศ สนธิสัญญาอาจเรียกชื่อต่าง ๆ เช่น กติกา (covenant), กติกาสัญญา (pact), กรรมสาร (act), ข้อตกลง (accord), ความตกลง (agreement), แถลงการณ์ (communiqué), ปฏิญญา (declaration), พิธีสาร (protocol) และ อนุสัญญา (convention) แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร รูปแบบความตกลงทั้งหมดเหล่านี้ถือว่าเป็นสนธิสัญญาเท่าเทียมกันและมีหลักเกณฑ์เดียวกันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ

สนธิสัญญาสามารถเปรียบได้หลวม ๆ กับสัญญา ทั้งสองต่างเป็นวิธีการที่ภาคีที่สมัครใจยอมรับพันธกรณีต่อกัน และภาคีซึ่งไม่สามารถยึดพันธกรณีสามารถรับผิดได้ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ 

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สนธิสัญญาริโอเดอจาเนโร

สนธิสัญญาริโอเดอจาเนโร ว่าด้วยเรื่อง สิ่งแวดล้อมและการพัฒนา




ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สนธิสัญญารีโอเดอจาเนโร ว่าด้วยเรื่อง สิ่งแวดล้อมและการพัฒนา


ผู้ที่อยู่ในขบวนการเคลื่อนไหวสิ่งแวดล้อมนั้นคงคุ้นเคยกับคำว่า “ริโอ” อยู่ไม่มากก็น้อย “ริโอ” ซึ่งไม่ใช่เป็นชื่อของนกแก้วมาคอว์สีฟ้าสุดเนิร์ดในภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ริโอ เดอะมูฟวี่ เจ้านกฟ้าจอมมึน(Rio)” นั้นคือ ริโอ เดอ จาเนโร (Rio de Janeiro) เมืองใหญ่ริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของประเทศบราซิล ซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลกจากการเป็นสถานที่จัดการ ประชุมสุดยอดด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาของสหประชาติ (United Nations Conference and Development) หรือ “เอิร์ธซัมมิท” ในปี 2535


เอิร์ธซัมมิทที่ริโอปี 2535 ถือเป็นต้นธารของกระแสความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมที่แผ่ขยายไป ทั้งโลก หรือ “โลกาภิวัตน์ด้านสิ่งแวดล้อม” และเป็นที่มาของความตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมหลายฉบับ รวมถึงกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(United Nations Framework on Climate Change Convention) และคำยอดฮิตติดอันดับซึ่งใช้กันมาจนถึงปัจจุบันและใช้ต่อกันไปในอนาคต คือคำว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development)”

แท้ที่จริงแล้วกระแสสิ่งแวดล้อมมีมาก่อนหน้าเอิร์ธซัมมิทที่ริโออย่างน้อยสองทศวรรษ โดยเฉพาะในปี 2515 ซึ่งสหประชาติจัดการประชุมระดับโลกด้านสิ่งแวดล้อมเป็นครั้งแรก ว่าด้วยสิ่งแวดล้อมของมนุษย์(The United Nations Conference on the Human Environment) ที่กรุงสต๊อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความตื่นตัวทาง การเมืองและสาธารณะของปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกครั้งแรก และส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประชาคมยุโรปในขณะนั้น

ในบรรดาการประชุมสุดยอดสิ่งแวดล้อมทั้งหลายในประวัติศาสตร์ “ริโอ” เป็นคำเรียกที่แพร่หลายที่สุด จากเอิร์ธซัมมิทที่ริโอปี 2535 ก็ตามมาด้วยการประชุมสุดยอด ว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (World Summit on Sustainable Development-WSSD) ในปี 2545 ที่เมืองโยฮันเนสเบอร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ เนื่องจากเป็นกระบวนการ ที่ต่อเนื่องมาจาก “เอิร์ธซัมมิท” ที่ “ริโอ” จึงเรียกการประชุมที่เมืองโยฮันเนสเบอร์ก ว่า “ริโอ+10”

ในเดือนมิถุนายน 2555 นี้ เส้นทางว่าด้วย “การพัฒนายั่งยืน” ทุกสายจะมุ่งสู่เมืองริโอ เดอ จาเนโร อีกครั้ง จากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือที่เรียกว่า "ริโอ+20  "โดยวาระหลักนั้นมุ่งเน้นไปที่เรื่อง “เศรษฐกิจสีเขียว(Green Economy)”

แต่ทว่า ยี่สิบปีหลังจากเอิร์ทซัมมิทริโอ เรายังคงเผชิญกับสถานการณ์สองด้านที่ขัดแย้งกัน เรารู้ว่ามีทางออกที่คุ้มค่า เรารู้ว่าการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดมีเพิ่มมากขึ้น เราสามารถยุติการทำลายป่าลงได้ และโลกมีอาหารเพียงพอเลี้ยงดูทุกคน หากรัฐบาลมีเจตจำนงที่แน่วแน่ แต่ในขณะเดียวกันการพัฒนาทั้งในซีกโลกเหนือและใต้ ยังคงไม่ยั่งยืนอย่างยิ่ง

ถึงแม้ว่าเรามี "ปฎิญญาริโอ" และความตกลงพหุภาคีว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนนับร้อยฉบับ แต่การขูดรีดทรัพยากรยังเพิ่มในอัตราเร่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลายเป็นวิกฤตสุดขั้ว น้ำสะอาดหายากมากขึ้น มหาสมุทรเผชิญกับภาวะฉุกเฉิน การทำลายป่าไม้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต มลพิษแพร่กระจายเพิ่มมากขึ้น และเรากำลังเดิมพันระบบอาหารของโลกโดยปล่อยให้สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม เข้าสู่ระบบนิเวศธรรมชาติ

รัฐบาลประเทศต่างๆ พร่ำพูดเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่กลับส่งเสริมให้เกิดการทำลายทางสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยทำการอุดหนุนงบประมาณให้กับกิจกรรมหรือโครงการพัฒนาที่ทำลายล้างไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม เชื้อเพลิงฟอสซิลไปจนถึงปุ๋ยเคมีและอุตสาหกรรมประมงขนาดใหญ่ เป็นมูลค่ารวมกันกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี รัฐบาลยอมให้บรรษัทผู้ก่อมลพิษและอุตสาหกรรมที่มีผลกระทบ ร้ายแรงเข้าแสวงกำไรจากการขูดรีดทรัพยากร และผลักภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสังคม และสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชน รัฐบาลเข้ากอบกู้สถาบันทางการเงินที่ละโมบซึ่งกำลัง ล้มละลาย แต่ล้มเหลวที่พลิกฟื้นโลกและดูแลคนยากจน

จำต้องกล่าวในที่นี้ว่า รัฐบาลทั้งหลายล้มเหลวนับตั้งแต่เอิร์ทซัมมิทเมื่อ 20 ปีก่อน แต่ก็ไม่ควรถูกประณามแต่โดยลำพัง ธุรกิจเอกชนมากมายได้ขัดขวางเส้นทางแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย ตัวอย่างเช่น บริษัทเอเชียพัลแอนด์เพเพอร์(APP) ดำเนินการสวนทางกับความพยายามปกป้องป่าไม้ที่มีประสิทธิภาพในอินโดนีเซีย ในขณะที่โฟลค์สวาเกนขัดขวางต่อระเบียบกฎเกณฑ์เพื่อปกป้องสภาพภูมิอากาศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมการเงินทำให้ประชาชนผู้เสียภาษี ต้องจ่ายไปกับการตัดสินใจที่ผิดพลาด ขณะที่ขัดขวางรัฐบาลในการควบคุมตลาดการเงินให้มีประสิทธิภาพ

เมื่อเข้าประชุมเอิร์ทซัมมิทที่ริโอในปี 2555 นี้ รัฐบาลทั้งหลายจะเผชิญกับ ความอิหลักอิเหลื่อในเรื่อง “การพัฒนาที่ยั่งยืน” และคำมั่นสัญญาที่ถูกทำลาย นับตั้งแต่เอิร์ทซัมมิทที่ริโอเมื่อปี 2535 ประชาชนจะเฝ้าดูว่า "เศรษฐกิจสีเขียวในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน" จะเป็นเพียงโฉมหน้าใหม่ของธุรกิจที่ดำเนินไปตามปกติ หรือจะเป็นการเรียกร้องเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่เราต้องการจริง ๆ

เราสร้างเศรษฐกิจสีเขียวที่เท่าเทียมและเป็นธรรมให้เกิดขึ้นได้ แต่เราต้องลงมือทำการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นเรื่องจำเป็น ระบบเศรษฐกิจที่อยู่บนพื้นฐานของพลังงานนิวเคลียร์ น้ำมันและถ่านหิน วิศวะพันธุกรรม สารเคมีเป็นพิษหรือการขูดรีดทรัพยากรป่าไม้ ท้องทะเลและมหาสมุทร เกินขีดจำกัดนั้น ไม่อาจเรียกว่า “การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน” ได้เลย

เศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นธรรมคือระบบเศรษฐกิจสรรสร้างวิถีชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน โดยเคารพต่อขีดจำกัดของธรรมชาติ พรมแดนแห่งพื้นพิภพของเรา เศรษฐกิจสีเขียวเป็นระบบที่มีกระบวนการเพื่อตอบสนองเป้าหมายทางสังคมและการพัฒนาเศรษฐกิจ

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นช้ามาก แต่ข่าวดีก็คือ เราพิสูจน์ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว บราซิลได้แสดงให้เห็นว่า เป็นไปได้ที่เราจะลดอัตราการทำลายป่าไม้ด้วยกลไกธรรมาภิบาลที่มีประสิทธิภาพและการดำเนินธุรกิจที่ดี การทำลายป่าไม้ในพื้นที่อะเมซอนของบราซิลมีอัตราลดลงปีแล้วปีเล่าและในปี 2554 เป็นปีที่มีอัตราการทำลายป่าต่ำที่สุด

แต่ปี 2555 นี้ ระบบติดตามประเมินผลของรัฐบาลบราซิลระบุว่า ในรัฐมาโตกรอสโซมีการทำลายป่าไม้เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับปี 2553 อันเป็นผลมาจากการผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายป่าไม้(forest code) กฎหมายนี้ได้เปิดให้ยกเว้นการทำผิดกฎหมายในอดีต สร้างแรงจูงใจให้เกิดกิจกรรมที่ผิดกฎหมายและเกิดการทำลายป่าไม้เพิ่มมากขึ้นก่อนจะมีการรับรองกฎหมายป่าไม้ดังกล่าวด้วย

บราซิลต้องตัดสินใจว่าจะเป็นผู้นำโลกในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและยุติการทำลายป่าไม้ให้เหลือศูนย์(Zero Deforestation) หรือจะแสดงให้โลกเห็นว่า สามารถยุติการทำลายป่าไม้ลงได้แต่ล้มเหลวที่จะทำเช่นนั้นเพราะมุ่งผลประโยชน์ทางธุรกิจในระยะสั้น

มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้วในภาคพลังงานซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจสีเขียว ตัวอย่างเช่น ในเยอรมนี กำลังผลิตไฟฟ้าที่ติดตั้งทั้งหมดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาร้อยละ 81 มาจากพลังงานหมุนเวียน แผนการปฏิวัติพลังงานของกรีนพีซแสดงให้เห็นว่าเราสามารถส่งจ่ายไฟฟ้าให้ผู้คนได้มากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจนในประเทศกำลังพัฒนา ในขณะที่ทำการลด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงมากกว่าร้อยละ 80 ภายในปี 2593 และยังเกิดการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น จากการลงทุนด้านประสิทธิภาพพลังงานและพลังงานหมุนเวียน แทนเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือนิวเคลียร์ โดยดำเนินการปฎิวัติพลังงาน รัฐบาลจะทำให้เกิดการจ้างงานในภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา พลังงานมากกว่า 3.2 ล้านตำแหน่งภายในปี 2573

การยกร่างเอกสารที่ริโอในปี 2555 นี้ จะต้องไม่เขียน “ปฎิญญาริโอ” หรือที่รู้จักกันว่า “Agenda 21” ขึ้นมาใหม่ สิ่งที่เราต้องการเห็นมากกว่าคือทบทวนว่าเราทำอะไรไปแล้วบ้าง ต่อคำมั่นสัญญา ที่ให้ไว้และใครเป็นผู้รับผิดชอบต่อความล้มเหลวที่เกิดขึ้น และชี้ให้เห็นถึงอำนาจของบรรษัท ข้ามชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างล้นเหลือซึ่งโลกได้ประจักษ์ นับตั้งแต่การประชุมสุดยอดสิ่งแวดล้อมโลกที่ริโอเมื่อสองทศวรรษก่อน


ที่ริโอเดอจาเนโรในปี 2555 รัฐบาลต้องกอบกู้โลกให้พ้นจากเส้นทางที่อันตรายที่เราเผชิญอยู่ จะต้องสร้างเป้าหมายว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นบนรากฐานการพัฒนาภายใต้ข้อจำกัดของระบบนิเวศของโลก เป้าหมายที่ตั้งควรมีช่วงเวลาไม่มากไปกว่าวงจรการเลือกตั้งทางการเมือง สองรอบเพื่อรับประกันว่าจะลงมือทำในทันที และหลีกเลี่ยงช่องว่างของพันธะกรณีทางการเมืองที่อาจจะมีขึ้น




สนธิสัญญากรุงโรม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สนธิสัญญากรุงโรมคือ

สนธิสัญญากรุงโรม  

ว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจ(ต้นกำเนิด มาร์ชทริส) ค.ส. 1957 ลงนามกรุงโรม

สนธิสัญญาโรม มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สนธิสัญญาจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป เป็นความตกลงระหว่างประเทศซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1958 มีการลงนามเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1957 โดยเบลเยียม ฝรั่งเศส อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์และเยอรมนีตะวันตก คำว่า "เศรษฐกิจ" ถูกลบออกจากชื่อสนธิสัญญา โดยสนธิสัญญามาสตริกต์ ใน ค.ศ. 1993 และสนธิสัญญาดังกล่าวเปลี่ยนใหม่เป็นสนธิสัญญาว่าด้วยการทำหน้าที่ของสหภาพยุโรป เมื่อสนธิสัญญาลิสบอนมามีผลใช้บังคับใน ค.ศ. 2009

ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเสนอให้ค่อยๆ ปรับภาษีศุลกากรลดลง และจัดตั้งสหภาพศุลกากร มีการเสนอใช้จัดตั้งตลาดร่วมสินค้า แรงงาน บริการและทุนภายในรัฐสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจยุโรป และยังได้เสนอให้จัดตั้งนโยบายการขนส่งและเกษตรร่วมและกองทุนสังคมยุโรป สนธิสัญญายังได้ก่อตั้งคณะกรรมาธิการยุโรป

สนธิสัญญาปารีส


หมายถึง สนธิสัญญาว่าด้วยเกี่ยวกับสภาวะโลกร้อน (The Treaty of Paris)

ความตกลงปารีส (อังกฤษ: Paris Agreement) 
เป็นความตกลงตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ยูเอ็นเอฟซีซีซี) เพื่อกำหนดมาตรการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่ พ.ศ. 2563 ความตกลงดังกล่าวเจรจากันในช่วงการประชุมภาคีสมาชิกของยูเอ็นเอฟซีซีซีครั้งที่ 21 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และได้รับความเห็นชอบในวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2558[1] โลร็อง ฟาบีอุส ประธานที่ประชุมและรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศของฝรั่งเศส กล่าวว่าแผนการอัน "ทะเยอทะยานและสมดุล" นี้คือ "จุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์" ในความพยายามลดภาวะโลกร้อน   


เป้าหมายของอนุสัญญามีระบุไว้ในข้อ 2 ว่า เพื่อ "ส่งเสริมการบังคับใช้" ยูเอ็นเอฟซีซี ด้วยการ[3]

"1.ควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสจากระดับอุณหภูมิช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ 1.5 องศาเซลเซียสจากระดับอุณหภูมิช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม โดยตระหนักว่า ความพยายามนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศลงอย่างมีนัยสำคัญ
2.เพิ่มพูนความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และประคับประคองความคงทนต่อสภาพอากาศและการพัฒนาที่ก่อก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ ด้วยแนวทางที่ไม่เป็นภัยคุกคามต่อการผลิตอาหาร
3.ก่อให้เกิดการไหลเวียนของกระแสเงินทุนซึ่งสอดคล้องกับแนวทางไปสู่การพัฒนาที่ก่อก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำและคงทนต่อสภาพอากาศ"


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สนธิสัญญาปารีสคือ

CITES ย่อมาจาก สัตว์พืชในCITES


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ citesสัตว์พืช



CITES ย่อมาจาก Convention on International Trade in Endangered Species หมายถึง อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดพันธุ์สัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์



ที่มา : กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์


 สัตว์และพืชในCITES

ตัวอย่างของสัตว์ป่า ที่อยู่ในบัญชีนี้ได้แก่ แพนด้าแดง (Ailurus fulgens) กอริลลา (Gorilla gorilla) ชิมแปนซี (Pan spp.) เสือ (Panthera tigris subspecies) สิงโตอินเดีย (Panthera leo persica) เสือดาว (Panthera pardus) เสือจากัวร์ (Panthera onca) เสือชีตาห์ (Acinonyx jubatus) ช้างเอเชีย (Elephas maximus) ช้างแอฟริกา (Loxodonta africana) พะยูนและแมนนาที (อันดับพะยูน) สกุลแรด (except some Southern African subspecies populations) ปลาตะพัด (Scleropages formosus) ปลายี่สก (Probarbus jullieni) เป็นต้น

ตัวอย่างของพืชป่า ที่อยู่ในบัญชีนี้ได้แก่ เอื้องปากนกแก้ว 


วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

รถไฟฟ้าญี่ปุ่น​

การโดยสารรถไฟถือเป็นการคมนาคมหลักในประเทศญี่ปุ่น ระบบการรถไฟที่ญี่ปุ่นทันสมัยมาก ให้บริการครอบคลุมเกือบทุกจุดหมายปลายทางทั่วประเทศ ดังนั้นการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆภายในประเทศญี่ปุ่นจึงไม่ใช่เรื่องยาก
อย่างไรก็ตาม ก่อนอื่นเราควรทำความเข้าใจกับระบบรถไฟที่ญี่ปุ่นก่อน รถไฟในญี่ปุ่นแบ่งเป็น 3 ระบบหลักๆ ได้แก่
  1. รถไฟ JR เน้นการเดินทางข้ามภูมิภาค ข้ามจังหวัด และการเดินทางในตัวเมือง
  2. รถไฟใต้ดิน เน้นการเดินทางในเมืองนั้นๆ
  3. รถไฟเอกชนต่างๆ วิ่งเฉพาะบริเวณนั้นๆ
ในครั้งนี้ขออธิบายเกี่ยวกับรถไฟ JR ในข้อ 1. เท่านั้น

รถไฟ JR เน้นการเดินทางระหว่างเมือง

รถไฟ JR ครอบคลุมบริเวณทั่วประเทศญี่ปุ่น

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2561

โครงงานIS1 : กล้วยฉาบทำง่ายๆ ได้ที่บ้าน

กล้วยฉาบทำง่ายๆ ได้ที่บ้าน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กล้วยฉาบ 


1. ชื่อโครงงาน : กล้วยฉาบทำง่ายๆได้ที่บ้าน
2.ผู้จัดทำ : นางสาว ฟารีดา โชคปมิตต์กุล ชั้นม.4/8  เลขที่11
3. อาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน : อาจารย์ เกรียงไกร  ทองชื่นจิต
4. ขอบเขตของการทำโครงงาน/ ระยะเวลา  :  เดือนสิงหาคม - กันยายน
5. วัตถุประสงค์ของโครงงาน : 
          - เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของบุคคลที่อยากรับประทานกล้วยฉาบที่บ้านโดยที่ไม่ต้องไปหาซื้อข้างนอก
          - เพื่อเป็นการสะดวก และรวดเร็วในการทำ อีกทั้งยังหาซื้อวัตถุดิบได้ง่าย และราคาไม่แพง




บทคัดย่อ  กรอบตั้งแต่คำแรกยันคำสุดท้าย ชวนทำเมนูกล้วยฉาบ สูตรขนมไทยกรอบอร่อยหอมกลิ่นเนย เอาไว้กินเพลิน ๆ เติมพลังยามบ่าย 
     มาทำกล้วยฉาบเก็บไว้หยิบกินเพลิน ๆ กันดีกว่า วันนี้ทางผู้จัดทำเลยมีสูตรทำกล้วยฉาบแบบง่าย ๆ มาฝาก เอาใจคนชอบกินจุบจิบ กรอบ ๆ หอม ๆ หวาน ๆ กินแล้วหยุดไม่ได้แน่นอน

ดังนั้นทางผู้จัดทำจึงนำสูตรการทำกล้วยฉาบสูตรขนมไทยเพื่อตอบสนองความต้องการของใครหลายๆคนรวมไปถึงผู้ที่สนใจ เนื่องจากใช้อุปกรณ์และวัตถุดิบที่หาได้ง่าย  และหวังว่าโครงงานชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์แก่บุคคลที่สนใจ และทุกคนๆ




กิตติกรรมประกาศ

     โครงงานเรื่องกล้วยฉาบทำง่ายๆได้ที่บ้าน จะสำเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณาของอาจารย์ที่ปรึกษาโครงงาน อาจารย์ เกรียงไกร ทองชื่นจิต ที่ได้ให้คำปรึกษา แนะนำ ชี้แนะในการศึกษาค้นคว้า แนะนำขั้นตอนและวิธีจัดทำโครงงานจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี  ทางผู้จัดทำจึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้
     ขอกราบขอบพระคุณ บิดา มารดา ที่ให้ความอนุเคราะห์ด้านการให้คำปรึกษา อำนวยงบประมาณ  ด้านอุปกรณ์ และวัตถุดิบในการใช้ทำโครงงานชิ้นนี้ ตลอดจนได้ให้คำปรึกษาแนะนำการจัดทำโครงงานจนประสบผลสำเร็จ
     ขอกราบขอบพระคุณ บิดา มารดา ที่ให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียน และสมาชิกในกลุ่มที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการทำโครงงานครั้งนี้จนกระทั่งประสบความสำเร็จด้วยดี 


บทที่1


วัสดุ อุปกรณ์


รูปภาพที่เกี่ยวข้อง 

1. กล้วยน้ำว้าห่าม 1 หวี 
2. น้ำตาลทราย 500 กรัม 
3. เกลือ 1 ช้อนชา 
4. น้ำมันสำหรับทอด  
5. มะนาว 2 ลูก  
6. น้ำเปล่า ¼ ถ้วยตวง 

ขั้นตอนการดำเนินงาน
STEP 1 : ปอกเปลือก - นำกล้วยน้ำว้าห่ามมาปอกเปลือก แล้วแช่ในน้ำผสมน้ำมะนาว เพื่อป้องกันไม่ให้กล้วยดำ

 à¸£à¸¹à¸›à¸ à¸²à¸žà¸—ี่เกี่ยวข้อง 
STEP 2 : ทอด - ตั้งน้ำมันให้ร้อน เอากล้วยที่ปอกไว้มาฝานลงไปทอด คอยคนอย่าให้กล้วยติดกัน ทอดจนสุกเหลือง แล้วตักขึ้นพักไว้ 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ส่วนผสม กล้วยฉาบ 
STEP 3 : คลุกน้ำตาล - ตั้งหม้อไฟกลาง ใส่น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำเปล่า เคี่ยวให้ละลายเป็นผลึกเล็กน้อย แล้วนำไปราดลงกล้วยที่ทอดไว้ คลุกให้เข้ากัน
วิธีทำกล้วยฉาบ 

สรุปผลการดำเนินงาน


     โครงงาน กล้วยฉาบทำง่าๆได้ที่บ้าน นี้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้กำหนดไว้เพื่อให้ความรู้และการชี้แนะแนวทางแก่ผู้ที่สนใจ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ การทำโรตีแบบง่ายๆ ที่การจัดหาวัสดุอุปกรณ์ และวัตถุดิบหาได้ง่าย และสามารถทำได้สะดวก รวดเร็ว ง่าย และมีรสชาติถูกปาก ซึ่งผู้สนใจสามารถศึกษาได้ด้วยตัวเองไปตามความสามารถของตน จนเกิดความเข้าใจ และเป็นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ และเกิดคุณค่า

ข้อเสนอแนะ


ควรระบุวัตถุดิบและปริมาณที่ต้องใช้ต่อจำนวนผู้รับประทานให้ชัดเจน ควรมีการจัดทำเนื้อหาให้มีรายละเอียดมากกว่านี้ และควรมีวิดิโอตัวอย่างการทำเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

อ้างอิง

https://www.wongnai.com/recipes/sweet-banana-crisp

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

ญี่ปุ่น​

ต้นตำหรับอาหารญี่ปุ่น
เทมปุระ 
เพื่อนคนไทยบางคนอาจคิดว่าอาหารญี่ปุ่นทุกอย่างเป็นอาหารที่สร้างขึ้นมาโดยชาวญี่ปุ่น แต่ความจริงแล้ว ในรายการอาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงทั่วโลก มีหลายอย่างที่เป็นอาหารที่เกิดในต่างประเทศนะครับ บางอย่างก็เป็นอาหารที่มีมานานในประเทศญี่ปุ่น จนขนาดคนญี่ปุ่นบางคนก็เข้าใจผิดว่าเป็นอาหารญี่ปุ่นแท้ๆ แต่เมื่อสำรวจความเป็นมาของอาหารแล้ว เป็นอาหารที่ได้ดัดแปรงมาจากอาหารของต่างประเทศในสมัยก่อนนะครับ ที่หลายคนคงรู้จักกันดีก็คือ ราเมน, เกี๊ยวซ่า ซึ่งมีต้นตำหรับอยู่ที่ประเทศจีนและได้ดัดแปลงมาเป็นอาหารญี่ปุ่น เทมปุระ ก็ไม่ได้เป็นของญี่ปุ่น นักวิจัยด้านประวัติศาสตร์อาหารหลายคนบอกว่า ชื่อว่า เทมปุระ คงมาจากคำว่า Temporas ของภาษา Portugal ที่มีความหมายว่าการปรุงรส ซึ่งในสมัย Edo ชาวญี่ปุ่นเห็นคน Portugal ที่เข้ามาในประเทศญี่ปุ่นทำอาหารโดยการทอดในน้ำมัน และ คงได้เลียนแบบวิธีปรุงอาหารโดยการทอด เพราะว่าก่อนสมัย Edo ชาวญี่ปุ่นไม่เคยใช้น้ำมันในการปรุงอาหารเลยอย่างที่ผมเขียนในตอนที่แล้วนะครับ


Tempura
Tendon : ข้าวหน้าเทมปุระ


 ซูชิ 
ขนาด Sushi (ข้าวหน้าปลาดิบ) ก็มีนักวิจัยหลายคนบอกว่ามีต้นตำหรับอยู่ที่เอเซียอาคเนย์ ซึ่งมาจากปลาส้มของเมืองไทยนั่นเอง เพราะว่าในสมัยโบราณ Sushi ไม่ได้มีรูปร่างอย่างที่ทุกคนรู้จักกันในสมัยปัจจุบันนะครับ ต้นแบบของ Sushi เป็นข้าวสุกที่มักไว้ในตัวปลาดิบที่เรียกว่า Nare-zushi นะครับ ตอนหลังในสมัย Edo ชาวญี่ปุ่นได้ดัดแปลงให้เป็นข้าวที่มีรสเปรี้ยวโดยน้ำส้ม และทานพร้อมกับปลาดิบ เพราะฉะนั้นในปัจจุบันชาวญี่ปุ่นยังเรียก Sushi แบบนี้ว่า Sushi แบบ Edo (Edo-mae Zushi) นะครับ Sushi แบบโบราณก็ยังมีอยู่ในสมัยปัจจุบัน อย่างเช่น Funa-zushi ของจังหวัด Shiga ซึ่งทำมาจากปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งชื่อ ปลา Funa ซึ่งเป็นปลาคล้ายกับปลาตะเพียนของไทย แล้วนำมาหมักด้วยกับข้าวสุก ซึ่งคล้ายกับปลาส้มของเมืองไทยนะครับ จริง ๆ แล้วนอกจาก Edo-mae zushi ยังมี Sushi อีกหลายแบบในประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะ Sushi ของเมือง Osaka (Osaka-zushi) เป็น Sushi ที่ค่อนข้างต่างกับ Edo-mae Zushi ซึ่งนิยมใช้ปลาที่สุกแล้วหรือที่แช่น้ำส้มแล้วและมีสีสันสวยกว่า ผมแนะนำให้ลองทานถ้ามีโอกาสนะครับ


Sushi
Sushi สไตล์โอซาก้า


 ปูอัด 
เมื่อผมทำงานเป็นอาสาสมัครที่เชียงใหม่เมื่อสิบสามปีที่แล้ว มีร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งที่มีรายการอาหารญี่ปุ่นว่า ปลาดิบ ผมก็เลยลองสั่งดู ปรากฎว่า สิ่งที่เขาเอามาเสริฟก็คือ ปูอัด นะครับ สมัยนั้นปูอัดก็ยังหายากมากในเมืองไทย และ ผมประทับใจว่า ปูอัดเป็นอาหารอย่างดีพิเศษของร้านอาหารในต่างจังหวัดได้ แต่สมัยนี้ทุกคนคงรู้จักว่า ปูอัด ไม่ได้เป็นของดิบ และไม่ได้ทำมาจากปู แต่เป็นเนื้อปูเทียมที่ทำมาจากเนื้อปลาซึ่งคล้ายกับลูกชิ้นปลามากกว่านะครับ
ที่น่าสนใจเกี่ยากับปูอัดก็คือ ที่ประเทศญี่ปุ่นชาวญี่ปุ่นมีภาพพจน์ว่า ปูอัด เป็นวัดถุอาหารที่เด็ก ๆ ชอบและไม่แพง เหมาะสำหรับครอบครัวที่ประหยัด เพราะเนื้อปูแท้ในประเทศญี่ปุ่น ยังเป็นสิ่งที่แพงมากทีเดียว สมัยก่อน กุ้ง และ ปู เป็นอาหารทะเลที่คนธรรมดาซื้อบ่อยไม่ได้เพราะแพงมาก ๆ นะครับ ในสมัยนี้กุ้งหาซื้อได้ไม่แพงเพราะนำเข้าเยอะมาจากเมืองไทย และ ประเทศอื่นๆ แต่สำหรับปูยังเป็นอาหารพิเศษที่มีราคาแพงนะครับ คนญี่ปุ่นสมัย30ปีที่แล้วจึงได้มีไอเดียว่าจะทำเนื้อปลาบดนึ่ง (Kamaboko)ที่มีลักษณะคล้ายกับเนื้อปู ซึ่งเป็นการเกิดของปูอัดนะครับ นอกจากว่าปูอัดได้ฮิตมากในประเทศแล้วยังได้รับการนิยมจากต่างประเทศมาก โดยไม่ได้คาดคิด เช่นสหรัฐอเมริกาเป็นต้น สมัยนี้หลายประเทศในโลกผลิตปูอัดกันรวมถึงเมืองไทย ซึ่งประเทศญี่ปุ่นปัจจุบันเป็นประเทศที่ซื้อปูอัดเข้ามาจากเมืองไทย เพราะมีราคาถูกกว่านะครับ


อาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยที่ไม่มีในประเทศญี่ปุ่น

เกี๊ยวซ่า

คนญี่ปุ่นนิยมทานเกี๊ยวซ่าบ่อยนะครับ แต่สำหรับเกี๊ยวซ่าที่ขายในเมืองไทยโดยเฉพาะที่ฟูดเซ็นเตอร์ต่างๆนั้น ผมต้องบอกว่าไม่เหมือนกับเกี๊ยวซ่าญี่ปุ่นนะครับ ที่แตกต่างกันมากที่สุดก็คือวิธีการทำ เกี๊ยวซ่าของญี่ปุ่นก็ใช้กระทะที่เป็นแผ่นเหล็กใหญ่ ๆ เหมือนกัน แต่ตอนแรกนำเกี๊ยวซ่าที่ยังไม่สุกวางบนกระทะแล้วปิ้งสักครู่โดยไม่ขยับ และทำให้มีส่วนถูกปิ้งที่ก้น แล้วเอาน้ำราดใส่ในกระทะเยอะและปิดฝาแน่นทันที ซึ่งตอนนั้นจะมีเสียงดังมากและมีไอน้ำพุ่งออกมาเยอะ แล้วรออีกสองสามนาทีจนกว่าไอน้ำจะไม่ออกมา ซึ่งวิธีหลักของการทำเกี๊ยวซ่าอยู่ที่การนึ่งด้วยไอน้ำในกระทะนะครับ ผลการก็คือเกี๊ยวซ่าที่มีส่วนนิ่มเป็นส่วนใหญ่ยกเว้นส่วนก้นที่กรอบ เกี๊ยวซ่าที่ฟูดเซ็นเตอร์ในเมืองไทย เขาเอาเกี๊ยวซ่านึ่งมาก่อน แล้วปิ้งบนกระทะโดยใช้น้ำมันเยอะซึ่งคล้ายกับว่าการผัด ผลการก็เป็นของมันๆ แข็งๆ นะครับ

ที่น่าสนใจก็คือ ต้นตำหรับของเกี๊ยวซ่าที่ประเทศจีนจะต่างกับเกี๊ยวซ่าญี่ปุ่นอีกต่างหากนะครับ เกี๊ยวซ่าเป็นอาหารที่นิยมทำกินที่บ้านที่ภาคเหนือของประเทศจีน แต่คนจีนในประเทศไทยไม่ค่อยรู้จักมาก่อน เพราะว่าคนจีนที่เข้ามาในประเทศไทยในสมัยก่อนส่วนใหญ่เป็นคนแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นคนภาคใต้ของประเทศจีน ที่ร้านอาหารจีนในประเทศไทยก็ไม่ค่อยมีเกี๊ยวซ่าขาย คนไทยหลายคนจึงยังคิดอยู่ว่า เกี๊ยวซ่าเป็นอาหารญี่ปุ่นนะครับ แต่เรื่องนี้ก็ไม่แปลกเพราะว่า ที่ประเทศจีนเองก็ไม่ค่อยมีเกี๊ยวซ่าปิ้งแบบญี่ปุ่นขายมากเท่าไร ชาวจีนแถวเมืองปักกิ่งจะนิยมทานเกี๊ยวซ่าที่ต้มในซุปหรือนึ่งมากกว่าปิ้ง ถ้าจะปิ้งเขาไม่ได้เรียกว่า เกี๊ยวซ่า แต่เรียกว่า guo tie ซึ่งตามปกติขายตามแผงลอย และเป็นขนมมากกว่าอาหารนะครับ สุดท้ายนี้คำว่าเกี๊ยวซ่าก็ไม่ได้เป็นภาษาจีนกลาง นักวิจัยบอกว่าอาจมาจากภาษากวางตุ้ง สรุปแล้วสมัยนี้เกี๊ยวซ่ากลายเป็นอาหารญี่ปุ่นเพราะค่อนข้างต่างจากต้นตำหรับแล้วนะครับ


ข้าวผัดกระเทียม 

ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยมักมีรายการว่า ข้าวผัดกระเทียม แต่ในประเทศญี่ปุ่นไม่มีรายการนี้ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเลยนะครับ ถ้าจะมีก็ต้องเป็นร้านอาหารฝรั่ง คนญี่ปุ่นก็เรียกว่า Garlic Rice ซึ่งเป็นทับศัพท์นะครับ ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมที่เมืองไทยมีรายการนี้ขายที่ร้านอาหารญี่ปุ่น แต่ผมเคยได้ยินว่า ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นในสหรัฐอเมริกาหลายแห่งมีรายการนี้ ซึ่งอาจมาจากอเมริกาก็ได้นะครับ


ขนมโตเกียว และ ขนมโมจิ 
สำหรับขนมโตเกียว ผมก็ประหลาดใจมากเมื่อได้เห็นขนมนี้เป็นครั้งแรก ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมขนมนี้มีชื่อเรียกว่าโตเกียว เพราะที่ประเทศญี่ปุ่นไม่มีขนมแบบนี้เลยนะครับ ถ้าจะหาขนมญี่ปุ่นที่มีลักษณะคล้ายกับขนมโตเกียวแล้วก็อาจเป็นขนม แครป แต่อันนี้ก็ความจริงเป็นขนมที่มาจากฝรั่งเศส แถมตอนนี้ที่เมืองไทยก็มีขายเป็นแครปญี่ปุ่นต่างหากนะครับ สำหรับขนมโมจิของจังหวัดนครสวรรค์ มีลักษณะคล้ายกับขนมญี่ปุ่นชนิดหนึ่งชื่อ Daifuku-mochi ซึ่งผมคิดว่าคงมาจากขนมนี้นะครับ แต่ก็มีรสชาติค่อนข้างต่างกันเหมือนกันนะครับ

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ประเทศสมาชิกอาเซียน(AEC)

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ อาเซียน

10 ประเทศอาเซียน


อาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East AsianNations ประกอบด้วย 10 ประเทศ


1. ข้อมูล ประเทศบรูไน (BRUNEI)





เมืองหลวง บรูไน : บันดาร์เซอรีเบอกาวัน (Bandar Seri Begawan)
ศาสนา : 
อิสลาม 67%, พุทธนิกายมหายาน 13%, ศาสนาคริสต์ 10%
วันชาติ บรูไน : 
วันที่ 23 กุมภาพันธ์
การเมืองการปกครอง บรูไน : 
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สุลต่านทรงเป็นอธิปัตย์ คือเป็นทั้งประมุข นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นชาวบรูไนเชื้อสายมาเลย์โดยกำเนิด และจะต้องเป็นมุสลิมนิกายสุหนี่ นอกจากนี้ บรูไนไม่มีสภาที่ได้รับเลือกจากประชาชน
พื้นที่ :  
5,769 ตร.กม. ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือบนเกาะบอร์เนียว ในทะเลจีนใต้
ประชากร : 
มีจำนวนประชากรประมาณ 401,890 คน (น้อยที่สุดในอาเซียน) ส่วนใหญ่เป็นเชื้อชาติ มลายู รองลงมาคือ จีน และชนพื้นเมืองต่าง
ภาษา :
 
ภาษามาเลย์เป็น ภาษาราชการ และใช้ภาษาอังกฤษกันทั่วไปทั้งในราชการ การค้า ภาษาจีนใช้กันในกลุ่มคนจีน
อาหารประจำชาติ บรูไน : 
อัมบูยัต เป็นอาหารยอดนิยมของบรูไน
สัตว์ประจำชาติ บรูไน : เสือโคร่ง
สกุลเงิน บรูไน : 
ดอลล่าร์บรูไน ดารุสซาลาม
วันที่เข้าร่วมอาเซียน :  มกราคม 1984
ดอกไม้ประจำชาติ :  ดอกซิมปอร์ (Simpor)
สถานที่ท่องเทียวสำคัญ:มัสยิดสุลต่าน โอมาร์ อาลี ไซฟุดดิน

2. ข้อมูล ประเทศกัมพูชา (CAMBODIA)


เมืองหลวง กัมพูชา : กรุงพนมเปญ
ศาสนา : 
พุทธร้อยละ 95, อิสลามร้อยละ 3, คริสต์ร้อยละ 1.7, พราหมณ์-ฮินดูร้อยละ 0.3
วันชาติ กัมพูชา : วันที่ 
พฤศจิกายน
การเมืองการปกครอง กัมพูชา : 
ประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
พื้นที่ :  
180,000 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรอินโดจีน
ประชากร : 
: มีจำนวนประมาณ 14.7 ล้านคน ชาวเขมรร้อยละ 90 ชาวญวนร้อยละ ชาวจีนร้อยละ และอื่นๆ ร้อยละ 4
ภาษา : 
ภาษาเขมร เป็นภาษาราชการ รองลงมาเป็นอังกฤษฝรั่งเศสเวียดนามและจีน
อาหารประจำชาติ กัมพูชา : 
อาม็อก (Amok) อาหารยอดนิยมของกัมพูชา มีลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย
สัตว์ประจำชาติ กัมพูชา : 
กูปรี หรือโคไพร เป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศกัมพูชา
สกุลเงิน กัมพูชา : 
เรียล (Riel) เป็นสกุลเงินของประเทศกัมพูชา
วันที่เข้าร่วมอาเซียน :  
เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนเมื่อวันที่ 30 เมษายน 1999
ดอกไม้ประจำชาติ :   ดอกลำดวน (Rumdul)
สถานที่ท่องเทียวสำคัญ:พระราชวังหลวง กรุงพนมเปญ

3. ข้อมูล ประเทศอินโดนีเซีย (INDONESIA)


เมืองหลวง อินโดนีเซีย : จาการ์ตา (Jakarta) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
ศาสนา :
 
อิสลามร้อยละ 88 คริสต์ร้อยละ ฮินดูร้อยละ พุทธร้อยละ และศาสนาอื่นๆร้อยละ 1
วันชาติ อินโดนีเซีย : 
วันที่ 17 สิงหาคม
การเมืองการปกครอง : 
ประชาธิปไตยที่มีประธานาธิปดีเป็นประมุข และหัวหน้าฝ่ายบริหาร
พื้นที่ :  
1,904,433 ตารางกิโลเมตร (หรือ 10 เท่า ของไทย)
ประชากร : 
มีจำนวนประชากร 241 ล้านคน ประกอบด้วย ชนพื้นเมืองหลายกลุ่ม
ภาษา :
 
ภาษาอินโดนีเซีย เป็นภาษาราชการ
อาหารประจำชาติ อินโดนีเซีย : 
กาโด กาโด (Gado Gado) ประกอบไปด้วยผักและธัญพืช 
สัตว์ประจำชาติ อินโดนีเซีย : 
มังกรโคโมโด
สกุลเงิน อินโดนีเซีย : 
รูเปียห์ (Rupiah) 
วันที่เข้าร่วมอาเซียน :
  
สิงหาคม 1967 เป็น 1 ใน ประเทศในการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกกล้วยไม้ราตรี (Moon Orchid)
สถานที่ท่องเทียวสำคัญ:มัสยิดอิสติกลัล

4. ข้อมูล ประเทศลาว (LAOS)


เมืองหลวง ลาว : เวียงจันทร์
ศาสนา :
 ศาสนาพุทธ(เถรวาท) คริสต์ อิสลาม นับถือผี
วันชาติ ลาว : 
วันที่ 2 ธันวาคม
การเมืองการปกครอง ลาว : 
สาธารณรัฐสังคมนิยม พรรคการเมืองเดียว คือ พรรคปฏิวัติประชาชนลาว 
พื้นที่ :
 
ประมาณ 236,000 ตารางกิโลเมตร
ประชากร : 
มีจำนวนประมาณ 6.5 ล้านคน ประกอบด้วย ชาวลาวลุ่ม 68%, ลาวเทิง 22%, ลาวสูง 9% รวมประมาณ 68 ชนเผ่า
ภาษา :
 
ภาษาลาว เป็นภาษาราชการ
อาหารประจำชาติ ลาว : 
ซุบไก่ (Chicken Soup)
สัตว์ประจำชาติ ลาว : 
ช้าง ถือเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองที่มีความผูกพันกับชาวลาวเป็นอย่างยิ่ง  
สกุลเงิน ลาว : 
กีบ (Kip)
วันที่เข้าร่วมอาเซียน :
  
เข้าร่วมสมาชิกอาเซียนเป็นประเทศที่ วันที่ 23 ก.ค. 1997
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกจำปาลาว (Dok Champa)
สถานที่ท่องเทียวสำคัญ:พระธาตุหลวง

5. ข้อมูล ประเทศมาเลเซีย (MALAYSIA)


เมืองหลวง มาเลเซีย : กัวลาลัมเปอร์ 
ศาสนา :
 
อิสลาม ศาสนาประจำชาติ ร้อยละ 60.4, พุทธ ร้อยละ 19.2, คริสต์ ร้อยละ 11.6, ฮินดู ร้อยละ 6.3 และอื่น ๆ อีกร้อยละ 2.5
วันชาติ มาเลเซีย : วันที่ 
31 สิงหาคม
การเมืองการปกครอง มาเลเซีย : 
ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา
พื้นที่ :  
ประมาณ 329,758 ตารางกิโลเมตร ( ประมาณ 64% ของไทย)
ประชากร :
 
มีจำนวนประมาณ 30,018,242 ประกอบด้วย มาเลย์ 40%, จีน33%, อินเดีย 10%, ชนพื้นเมืองเกาะบอร์เนียว 10%  
ภาษา :
 
ภาษามาเลย์ หรือ ภาษามลายู เป็นภาษาราชการ รองลงมาเป็นอังกฤษและจีน
อาหารประจำชาติ มาเลเซีย : 
นาซิเลอมัก เป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของมาเลเซีย  เป็นข้าวผัดกับกะทิและสมุนไพรสะเต๊ะ เป็นอาหารที่รู้จักแพร่หลาย  นิยมใช้เนื้อวัว หรือเนื้อไก่ย่างบนเตาถ่าน  รับประทานกับน้ำจิ้มรสชาติหวานหอมเผ็ด และเครื่องเคียง
สัตว์ประจำชาติ มาเลเซีย : 
เสือโคร่ง
สกุลเงิน มาเลเซีย : 
ริงกิต (Ringgit) 
วันที่เข้าร่วมอาเซียน :
  
สิงหาคม 1967 เป็น 1 ใน ประเทศในการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกพู่ระหง (Bunga Raya)
สถานที่ท่องเทียวสำคัญ:ตึกแฝดเปโตรนาส

6. ข้อมูล ประเทศเมียนมาร์ หรือพม่า (MYANMAR)


เมืองหลวง เมียนมาร์ : เนปีดอ (Naypyidaw)
ศาสนา :
 
พุทธ 90%, คริสต์ 5%, อิสลาม 3.8%
วันชาติ : 
วันที่ มกราคม
การเมืองการปกครอง เมียนมาร์ :
 
ระบบเผด็จการทหาร ปกครองโดยรัฐบาลทหารภายใต้สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ
พื้นที่ :  
677,000 ตารางกิโลเมตร
ประชากร : 
มีจำนวนประมาณ 56,400,000 คน มีชาติพันธุ์พม่า 68%, ไทใหญ่ 9%, กะเหรี่ยง 7%, ยะไข่ 3.50%, จีน 2.50%, มอญ 2%, คะฉิ่น 1.50%, อินเดีย 1.25%, ชิน1%, คะยา 0.75% และอื่นๆ 4.50%
ภาษา : 
ภาษาพม่า เป็นภาษาราชการ
อาหารประจำชาติ เมียนมาร์ : 
หล่าเพ็ด (Lahpet) เป็นอาหารยอดนิยมของพม่า คือใบชาหมักทานกับเครื่องเคียง
สัตว์ประจำชาติ เมียนมาร์ : เสือ
สกุลเงิน เมียนมาร์ : 
จ๊าด (Kyat) 
วันที่เข้าร่วมอาเซียน :
  
วันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ.1997
ดอกไม้ประจำชาติ :  ดอกประดู่ (Paduak)
สถานที่ท่องเทียวสำคัญ:มหาเจดีย์ชเวดากอง

7. ข้อมูล ประเทศฟิลิปปินส์ (PHILIPPINES)


เมืองหลวง ฟิลิปปินส์ : กรุงมะนิลา
ศาสนา :
 ร้อยละ 92.5 นับถือศาสนาคริสต์ โดยร้อยละ 83 นับถือนิกายโรมันคาทอลิก และร้อยละ เป็นนิกายโปรเตสแตนต์
วันชาติ ฟิลิปปินส์ : วันที่ 
12 มิถุนายน
การเมืองการปกครอง ฟิลิปปินส์ : 
ระบอบประชาธิปไตย แบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีเป็นประมุข มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน
พื้นที่ :  
300,000 ตารางกิโลเมตร
ประชากร : 
มีจำนวนประมาณ 103,000,000 คน
ภาษา :
 
ภาษาฟิลิปีโน และภาษาอังกฤษ เป็นภาษาราชการ
อาหารประจำชาติ ฟิลิปปินส์ : 
อโดโบ้ (Adobo) เป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยม ของประเทศฟิลิปปินส์ ทำจากหมู หรือไก่ที่ผ่านกรรมวิธีหมักและปรุงรสโดยจะใส่ซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชู กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ นำไปทำให้สุกโดยใส่ในเตาอบ หรือทอด และรับประทานกับข้าว
สัตว์ประจำชาติ ฟิลิปปินส์ : 
กระบือ เป็นสัตว์ประจำชาติฟิลิปปินส์ ในภาษาตากาล็อกเรียกว่า คาราบาว
สกุลเงิน ฟิลิปปินส์ : 
เปโซ (Peso)
วันที่เข้าร่วมอาเซียน :
 
วันที่ สิงหาคม
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกพุดแก้ว (Sampaguita Jasmine)
สถานที่ท่องเทียวสำคัญ:อาคารพิพิธภัณฑ์มะนิลาและห้องสมุดประจำจังหวัดเมืองมะนิลา

8. ข้อมูล ประเทศสิงคโปร์ (SINGAPORE)


เมืองหลวง สิงคโปร์ : สิงคโปร์ สิงคโปร์เป็นประเทศเดียวที่ไม่มีเมืองหลวง เนื่องจากเป็นเกาะขนาด 710 ตารางกิโลเมตร จึงบริหารประเทศทั้งหมดเป็นรัฐเดียว
ศาสนา : 
พุทธ 42.5%, อิสลาม 14.9%, คริสต์ 14.5%, ฮินดู 4%, ไม่นับถือศาสนา 25%
วันชาติ : 
วันที่ สิงหาคม
การเมืองการปกครอง สิงคโปร์ : 
ปกครองแบบสาธารณรัฐ มีรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุข และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล รัฐสภาวาระคราวละ 5
พื้นที่ :  
697.1 ตารางกิโลเมตร
ประชากร : 
มีจำนวนประมาณ 5,469,700 คน ประกอบด้วยชาวจีน 75%, มาเลย์ 15%, อินเดีย 10%
ภาษา :
 
ภาษาราชการ มี ภาษาด้วยกัน คือ ภาษาอังกฤษ ภาษามลายู ภาษาจีนแมนดาริน และภาษาทมิฬ
อาหารประจำชาติ สิงคโปร์ : 
ลักซา (Laksa) อาหารยอดนิยมของสิงคโปร์ เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (ใส่กะทิ) ลักษณะคล้ายข้าวซอยของไทย น้ำแกงเข้มข้นด้วยรสชาติของกะทิ กุ้งแห้ง และพริก โรยหน้าด้วยกุ้งต้ม หอยแครง
สัตว์ประจำชาติ สิงคโปร์ : 
สิงโต ซึ่งเป็นที่มาของชื่อประเทศ มาจากคำว่า สิงหปุระ (Singapura) เป็นภาษาสันสกฤต
สกุลเงิน สิงคโปร์ : 
ดอลล่าร์สิงคโปร์ 
วันที่เข้าร่วมอาเซียน : 
สิงหาคม 1967 เป็น 1 ใน ประเทศในการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกกล้วยไม้แวนด้า (Vanda Miss Joaquim)
สถานที่ท่องเทียวสำคัญ:เมอร์ไลอ้อน

9. ข้อมูล ประเทศเวียดนาม (VIETNAM)


เมืองหลวง เวียดนาม : กรุงฮานอย
ศาสนา :
 ศาสนาพุทธ นิกายมหายานสูงถึงร้อยละ 70 ของจำนวนประชากร ร้อยละ 15 นับถือศาสนาคริสต์ ที่เหลือนับถือลัทธิขงจื้อ มุสลิม
วันชาติ : 
วันที่ กันยายน
การเมืองการปกครอง เวียดนาม : 
ระบอบสังคมนิยม โดยพรรคคอมมิวนิสต์เป็นพรรคการเมืองเดียว
พื้นที่ :  
331,689 ตารางกิโลเมตร
ประชากร : 
89,693,000 คน
ภาษา :
 
ภาษาเวียดนาม เป็นภาษาราชการ
อาหารประจำชาติ เวียดนาม : 
: แหนม หรือ ปอเปี๊ยะเวียดนาม เป็นอาหารยอดนิยมของเวียดนาม หนึ่งในอาหารพื้นเมืองที่โด่งดังที่สุด
ของประเทศแผ่นแป้งทำจากข้าวจ้าว นำมาห่อไส้ ซึ่งอาจเป็นไก่ หมู กุ้ง หรือหมูยอ รวมกับผักที่มีสรรพคุณ
เป็นยานานาชนิด

สัตว์ประจำชาติ เวียดนาม : 
กระบือ
สกุลเงิน เวียดนาม : 
ด่ง (Dong) 
วันที่เข้าร่วมอาเซียน :
 
วันที่ 28 มกราคม 1995
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกบัว (Lotus)
สถานที่ท่องเทียวสำคัญ:เจดีย์เตริ่นกว็อก

10. ข้อมูล ประเทศไทย (THAILAND)


เมืองหลวง ไทย: กรุงเทพมหานคร
ศาสนา :
 พุทธ 93.83%, อิสลาม 4.56%, คริสต์ 0.80%, ฮินดู 0.086%, ลัทธิขงจื๊อ 0.011% และอื่นๆ 0.079% และมีประชากรที่ไม่นับถือศาสนาและไม่ทราบศาสนา 0.27% และ 0.36%
วันชาติ : 
วันที่ ธันวาคม
การเมืองการปกครอง ไทย: 
ระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พื้นที่ : 
513,115.02 ตารางกิโลเมตร
ประชากร : 
65,124,716 คน
ภาษา :
 
ภาษาไทย เป็นภาษาราชการ
อาหารประจำชาติ ไทย:  
ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong), ส้มตำ
สัตว์ประจำชาติ ไทย: 
ช้าง ถือเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองและมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับสถาบันหลักของประเทศ 
สกุลเงิน ไทย :
 
บาท (Baht)
วันที่เข้าร่วมอาเซียน :
 
สิงหาคม 1967 เป็น 1 ใน ประเทศในการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกราชพฤกษ์ (Ratchaphruek)
สถานที่ท่องเทียวสำคัญ:วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ "วัดพระแก้ว" กรุงเทพมหานคร

โครงงานISเรื่องกล้วยๆสไตล์เด็กหอ

วีดีโอ​จาก: https://youtu.be/IecMajnh9so โครงงานIS เรื่อง กล้วยสไตล์เด็กหอ    สมาชิกกลุ่ม น.ส. ดวงกมล น้อยยืนยง ม.4/8 เลขที...